วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตด ใครคิดว่าไม่สำคัญ

      ช่วงนี้เวลาเข้าเวรผมมักจะเอาถั่วอบมากิน บางวันกินมากไปก็ทำให้เกิดลมในท้องจนต้องปล่อยออกมาหรือที่เรียกว่าตดนั่นเอง ท่านสงสัยไหม้ครับว่าทำไมบางวันตดเราก็มีกลิ่นเหม็น แต่บางครั้งก็มีเพียงแค่ลม วันนี้ลองค้นข้อมูลมาเล่าให้ฟังครับ
         จากการวิจัยของนายแพทย์ไมเคิล ดี. เลวิทย์ อายุรแพทย์จากมหาวิทยาลัยมินนิโซตาเมดิคัล พบว่าตดเกิดจากการรวมตัวกันของแก้สหลายชนิด เป็นแก้สที่ไม่มีกลิ่น 99 % และที่มีกลิ่นเพียง 1 % ซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดแก้สพวกกำมะถันเช่น ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว โดยปกติคนเราจะขับแก้สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทางคือการขับออกทางปากและทางทวารหนัก หากแก้สไม่ถูกขับออกจะมีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้องดังนั้นการผายลมจึงเป็นการแก้ปัญหาของร่างกายเราอย่างหนึ่ง แก้สในร่างกายของคนเราเกิดขึ้นจาก 2 องค์ประกอบคือ
   1. แก้สจากภายนอก มีมากถึงร้อยละ 90 เป็นลมที่เข้ามาทางจมูกและปาก จากการพูดหรือบริโภคอาหารซึ่งเรามักกลืนอากาศเข้าไปด้วย
   2. แก้สที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย มีเพียงร้อยละ 10  เกิดจากแบคทีเรียในลำใส้ใหญ่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร เมื่อรวมตัวกันแล้วจะเคลื่อนที่จากลำไส้ใหญ่ แม้ว่าผนังลำไส้จะดูดซึมแก้สเหล่านี้ไว้ได้ แต่บางครั้งร่างกายก็ขับแก้สเหล่านี้ออกทางไส้ตรงเพราะดูดซึมแก้สไม่ทัน หรืออาจเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก้สมากเช่นถั่ว นม จึงเกิดลมในท้องมากและขับออกมาเป็นตด
         การผายลมบ่อย ๆ แสดงว่ามีลมหรือแก้สในท้องมาก หากลมออกมาได้ แรงดันในท้องก็จะลดลง การผายลมจึงเป็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย เพราะหากคุณไม่ผายลมเลยแสดงว่ามีความผิดปกติ เช่นเป็นโรคลำไส้อุดตัน ดังนั้นการผายลมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่ควรสังเกตก็คือเรื่องของกลิ่น หากมีกลิ่นเหม็นรุนแรง อาจบ่งบอกได้ว่าในลำไส้ของคุณมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพปริมาณมาก อาการของโรคบางอย่างมีผลให้เกิดการผายลมบ่อย ๆได้ เช่นผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอับเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไป กระเพาะไม่ทำงานและอาหารก็ไม่ถูกย่อย พอไปถึงลำไส้ใหญ่  แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ย่อยต่อ เมื่อย่อยมากก็จะเกิดแก้สมาก หรือคนที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานย่อยสลายไขมันไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมอยู่บ่อย ๆ รวมทั้งผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอับเสบ ท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของการผายลมบ่อย
   จะเห็นได้ว่าหากเราหมั่นสังเกตตัวเราเองเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น แม้แต่การตดที่มากเกินไปเราก็ไม่ควรจะนิ่งนอนใจ รีบไปตรวจร่างกายก่อนที่จะสายเกินไป 
                ขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

การดูแลสุขภาพในฤดูหนาว

  ปีนี้อากาศหนาวมากกว่าทุกปีที่ผ่านมาและก็หนาวนานด้วย หลายท่านก็คงจะมีปัญหาสุขภาพเช่นเป็นหวัด ผิวแห้งเป็นต้น วันนี้ก็เลยเอาบทความเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในหน้าหนาวตามศาสตร์แผนจีนมาให้อ่านกัน ซึ่งมีเคล็ดลับดังนี้ครับ
  1. ดื่มน้ำมากขึ้น การดื่มน้ำอุนจะช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและร่างกายไม่ขาดน้ำ ป้องกันความแห้งจากอากาศ โดยควรดื่ม 2- 3 ลิตรต่อวัน
  2. ให้เหงื่ออกเล็กน้อย  เนื่องจากหากออกกำลังมากเกินไปจะเสียเหงื่อและพลังที่สะสมอยู่ และทำให้รูขุมขนเปิด เสี่ยงต่อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
  3. การระบายอากาศในห้องนอน ควรระบายอากาศเป็นช่วง ๆ เพื่อป้องกันการก่อตัวของเชื้อโรคในห้องที่อับชื้น
  4. ปรับอารมณ์และจิตใจ เนื่องจากหน้าหนาวการเผาผลาญน้อยลง สภาพจิตใจจะหดหู่ ทำให้หงุดหงิดง่าย ฉะนั้นควรผ่อนคลายอารมณ์ตามความเหมาะสมของแต่ละคน
  5. เข้านอนเร็วขึ้นและตื่นสายหน่อย การเข้านอนเร็วขึ้นเพื่อป้องกันการเสียพลัง การตื่นสายซักหน่อยเพื่อสะสมสารยินและสารจิงให้มาก ซึ่งเป็นหลักการบำรุงไตซึ่งเป็นการควบคุมหยิงหยางของร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ
  6. ต้องดูแลเท้า เนื่องจากเป็นอวัยวะที่มีไขมันน้อย และความอบอุ่นน้อยกว่าส่วนอื่น ควรใส่ถุงเท้านอน หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนปูนที่เย็น การดูแลเท้าที่ดีจะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกายที่ดี
  7. กินโจ๊กเพิ่มพลังความร้อน การกินข้าวต้มร้อน ๆ ตอนเช้านอกจากจะให้พลังความร้อนแล้ว ยังให้ความชุ่มชื่นแก่คอ ป้องกันอาการคอแห้ง เจ็บคอ เนื่องจากขาดน้ำหล่อเลี้ยง
                     ขอบคุณข้อมูลจากหมอชาวบ้าน
         

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

หลักการเลือกรับประทานวิตามิน

  การกินอาหารจัดว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดี โดยหลักการกินอาหารเพื่อให้มีสุขภาพดีนั้นคือ กินอาหารให้ครบห้าหมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาว กินผักผลไม้ให้มาก หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เช่นเค็มจัด หวานจัด และก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
   แต่ถ้าหากท่านรู้สึกว่าร่างกายไม่แข็งแรงหรือกินอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากธุระกิจรัดตัว โดยเฉพาะท่านที่เข้าเวรต่อกัน
ก็สามารถหาวิตามินมาเสริมได้ โดยแต่ละวันให้กินดังนี้  



     Vitamin  A      วันละ    1000   IU

     Vitamin  C      วันละ    1000  มิลลิกรัม
     Vitamin  D      วันละ    1000  IU
     Vitamin  E      วันละ     400    IU
     ซิลิเนียม        วันละ       50    ไมโครกรัม
    วิธีการกินก็ให้กินหลังอาหาร มื้อใดก็ได้  ในหนึ่งสัปดาห์ให้กิน 5 วัน หยุด 2 วัน กินต่อกัน 2 เดือนก็พอ และจะเริ่มกินใหม่ก็ต่อเมื่อรู้สึกไม่แข็งแรง 

               ขอบคุณข้อมูลจากชีวจิต